ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเจ้าของข้อมูลทุกข้อมูลที่คัดลอกมาให้ผู้อ่านได้อ่านให้เกิดความรู้กันครับ…
วัดเทพเจ้าโทเท Tou Tei Temple at Patane
ตั้งอยู่ที่ Rua de Campo no. 52- 54
เป็นหนึ่งในห้าวัดที่สร้างขึ้นในราชวงศ์หมิง สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์หมิง เรียกว่า วัดเทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดิน สร้างถวายแด่เทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดิน ที่เรียกว่าเทพเจ้าโทเท หรือที่ชาวจีนรู้จักกันในนาม เทพตี่จู่เอี้ย รองลงมาคือถวายแด่เจ้าแม่กวนอิม พระพุทธเจ้า เทพแห่งการแพทย์และอื่นๆ โดดเด่นที่ซุ้มประตูโค้งที่ทำจากหิน ภายในประกอบด้วย 3 โถงสำคัญ คือโถงแห่งความสุขนิรันดร์ โถงแห่งน้ำและดวงจันทร์ โถงแห่งยาและเวชกรรมและโถงแห่งพระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์
นับเป็นอีกวัดหนึ่งที่เน้นให้เรามาสักการะองค์เทพตี่จู่เอี้ย โดยเฉพาะ
ตามความเชื่อของจีน ตี่จู่เอี้ย คือเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ผู้ทำหน้าที่ดูแลปกปักรักษาผู้อยู่อาศัยในบ้าน
โถงแห่งเทพเจ้าโทเท เป็นที่รู้จักกันในนาม วิงฟก เทพเจ้าแห่งโชคดี เป็นโถงที่เก่าแก่ที่สุดและมีหน้าจั่วและศาลาทรงดอกบัว ตั้งอยู่ด้านหน้าของโถงไว้สำหรับการสวดบูชา เทพเจ้าโทเทนี้ ชาวจีนเรียกว่า ตี่จู่เอี้ย ตามความเชื่อในตำนานที่ว่าเป็นเทพเจ้าผู้ดูปกปักษ์ผืนแผ่นดิน การกราบไหว้เทพเจ้าพระองค์นี้จึงปรากฏทั่วไปในมาเก๊า ไม่ว่าจะในร้านรวงหรือตามบ้านเรือน ศาลเจ้าของเทพเจ้าโทเทอาจถูกเรียกว่าศาลเจ้าฟกตั๊ก มีความหมายในภาษาจีนอีกอย่างว่า ความมั่งคั่งและบุญกุศล
ทุกวันที่ 2 เดือน 2 จันทรคติ เทศกาลงานเลี้ยงเทพเจ้าโทเท ขอพรให้แข็งแรง มั่งคั่ง ชาวมาเก๊าจะกราบไหว้เทพตี่จู่เอี้ยที่บ้านของตน หรือตามขบวนแห่สิงโตที่มุ่งสู่วัดเทพเจ้าโทเทเพื่อกราบไหว้บูชาและขอพรให้ทำมาค้าขายได้ดีและสามารถเก็บเกี่ยวได้มาก หลังจากนั้นสมาคมต่างๆ จะนำหัวหมู ข้าวปลาอาหารมาถวายเพื่อเป็นการบูชา
ที่ซอกหินนี้ก็ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมอยู่ด้วย
เรามาอ่านเรื่องของเทพเจ้าที่พอเป็นความรู้กัน ใครไม่สนใจก็ข้ามไปได้ครับ
: เทพเจ้าที่หรือตี่จู่เอี๊ย
土地爷或土地神
ชาวจีนส่วนใหญ่จะมีการตั้งจัดวางเจ้าที่ หรือที่คนจีนเรียกว่า “ตี้จู่เย๋ หรือ ตี้จู่เสิน” (ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ตี่จู่เอี๊ย”) บนพื้นภายในบ้านโดยเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่มีรูปวาดหรือรูปปั้นของผู้เฒ่าอยู่ตรงกลางไว้สักการบูชา ศาลเจ้าจะเป็นสีแดงประดับลวดลายสีสันสวยงาม ชาวจีนนิยมกราบไหว้เจ้าที่กันทุกแรมหนึ่งค่ำ (ชูอิก) และขึ้น 15 ค่ำ (จั่บโหงว) ตามปฏิทินจันทรคติของจีน
เจ้าที่เรียกอีกชื่อว่า “ฝูเต๋อเจิ้งเสิน” (เทพเจ้าแห่งโชคลาภและคุณธรรม) แต่บางท้องที่เรียกว่า “โฮ่วถู่”หรือ “ป๋อกง”(แป๊ะกง) โดยทั่วไปคนในเมืองและศาลเจ้าส่วนใหญ่จะเรียกชื่อว่า “ฝูเต๋อเจิ้งเสิน”ส่วนคนชานเมืองและแถวสุสานนิยมเรียกกันว่า “โฮ่วถู่”ชาวจีนแคระนิยมเรียกว่า “แป๊ะกง”มากกว่า ความเป็นมาของเจ้าที่มีเรื่องเล่ากันหลายตำนาน เช่น ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า เจ้าที่คือปู่ของหานเซี่ยงจื่อ (หนึ่งในแปดเซียน) มีนามว่าหานเหวินกง หลังจากที่หานเซียงจื่อบำเพ็ญเพียรสำเร็จเป็นเซียนแล้ว ปู่ของเขาอยากจะทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จโดยการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน จึงขอให้หานเซี่ยงจื่อนำเขาไปที่เขาจงหนานบำเพ็ญเพียร เซี่ยงจื่อกล่าวว่า “ท่านปู่ การบำเพ็ญเพียรไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่ท่านคิดหรอก ต้องยอมลำบากพากเพียรและต้องละแล้วซึ่งกิเลสทั้งมวล” ผู้เฒ่าได้แต่พยักหน้าและตอบรับ หานเซียงจื่อจึงเร่งพาเขาไปที่เขาจงหนาน
เมื่อเซียงจื่อได้แบกปู่ขึ้นหลัง เพียงครู่เดียวก็เหินขึ้นฟ้า เวลานี้ผู้เฒ่าเกิดคิดขึ้นมาได้ว่า ทำไมไม่พาย่ามาด้วย ถ้าพาย่ามาด้วย ผู้เฒ่าทั้งสองจะได้กลายเป็นเซียนทั้งคู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เมื่อคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าจึงตะโกนบอกเซียงจื่อว่า “หยุดก่อน รีบหยุดเร็ว” เมื่อเซียงจื่อได้ยินปู่ตะโกนเรียกโดยไม่ทราบสาเหตุ ตกใจปล่อยมือ ผู้เฒ่าจึงตกลงมาจากฟ้า และพอดีตกลงมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขารู้สึกเสียใจมากเพราะตนต้องมาตายเสียก่อนที่จะได้เป็นเซียน
เซียงจื่อรู้สึกเสียใจมากที่ปู่ต้องมาเสียชีวิตลงเพราะตน ย่าของเขาเมื่อรู้เรื่องเข้าเสียใจมาก จนในที่สุดได้เสียชีวิตไปอีกคน หานเซียงจื่อได้นำศพของปู่และย่าไปฝังไว้ตรงที่ปู่ตกลงมาตาย ข้าง ๆ สร้างเพิงไว้แล้วตั้งป้ายกราบไหว้บูชา เขาได้เฝ้าหลุมฝังศพอยู่สามปี สวดมนต์ 3,721 บท ส่งวิญญาณทั้งสองขึ้นสู่สวรรค์
ผู้เฒ่าหานเหวินกงเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เขาเป็นผู้ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดของหมู่บ้าน ไม่เพียงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเก็บเกี่ยว อีกทั้งปรกติมักจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้กับครอบครัวที่มีเรื่องบาดหมางหรือ ทะเลาะวิวาทกันจนทำใหเรื่องราวสงบ บัดนี้ได้ยินว่าวิญญาณของผู้เฒ่าทั้งสองได้ขึ้นสวรรค์และกลายเป็นเทพผู้ปก ปักษ์รักษาและกลายเป็นเจ้าที่หรือถู่ตี้เสิน ซึ่งตรงกับความปรารถนาของผู้คน คนทั้งหลายจึงได้รวบรวมเงินทองสร้างศาลเจ้าขึ้นแล้วประดิษฐานรูปของผู้เฒ่า ทั้งสอง
ทุกปีเมื่อถึงวันเซ่นไหว้ผู้เฒ่าทั้งสอง ผู้คนได้มาจุดธูปกราบไหว้ ขอให้ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ครอบครัวปรองดอง และคลาดแคล้วจากเภทภัยทั้งปวง นานเข้าจนกลายเป็นประเพณี ดังนั้นศาลเจ้าที่มักจะสร้างกันปากทางเข้าหมู่บ้าน รูปปั้นของเจ้าที่ไม่มีขานั้น สาเหตุเนื่องมาจากสมัยนั้นตกลงมาขาขาด เจ้าที่เป็นเทพเจ้าที่ดูแลพื้นดิน ยามที่ผู้คนบุกเบิกแผ้วถาง ทำงานตรากตรำ ขอให้พื้นดินมอบความสมบูรณ์เพื่อให้พืชผลเจริญงอกงาม
โฮ่วถู่ หรือเจ้าที่นั้น ที่ไต้หวันถือเป็นเทพที่ดูแลปกปักษ์สุสาน กล่าวกันว่าสมัยราชวงศ์ฉิน จิ๋นซีฮ่องเต้ได้ระดมผู้คนหนุ่มฉกรรจ์เพื่อสร้างกำแพงเมืองจีน สามีของแม่นางเม่งเจียงก็ถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีนด้วย แม่นางเม่งเจียงผู้ซึ่งรักสามีเป็นอย่างมาก ได้เดินทางไปสืบหาสามี ในที่สุดก็มาถึงกำแพงเมืองจีนและรู้ว่าสามีได้เสียชีวิตไปแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ร้องไห้จนกำแพงเมืองจีนพังทลายลงมา ปรากฏให้เห็นโครงกระดูกมากมาย แต่ไม่รู้ว่าโครงกระดูกใดเป็นของสามีตน ทันใดนั้นมีชายผู้หนึ่งบอกให้นางกัดนิ้วเพื่อให้เลือดหลั่งลงกระดูก ถ้าเลือดหลั่งติดกระดูก แสดงว่าเป็นสามีของนาง ครั้นแล้วนางก็หากระดูกสามีเจอ เมื่อนางห่อกระดูกนำกลับไปนั้น กระดูกชิ้นนั้นค่อย ๆ มีเนื้องอกออกมา ดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพได้ ผู้เฒ่าทั้งหลายเกรงว่าคนตายจะฟื้นคืนชีพซึ่งขัดต่อกฎสวรรค์ จึงสอนแม่นางเมิ่งเจียง ไม่สะดวกอุ้มโครงกระดูก ให้ใส่ถุงผ้าแล้วแบกเสีย แม่นางเมิ่งเจียงได้ทำตามที่กล่าว ปรากฏว่ากระดูกกลับเป็นผงเหมือนเดิม แม่นางเมิ่งเจียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งและโทษผู้เฒ่า ผู้เฒ่าคนนั้นจึงรับปากว่าจะช่วยสามีนางโดยดูแลที่ฝังศพให้ นี่คือที่มาของเจ้าที่ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสุสานฝังศพ
เจ้าที่ที่ชาวบ้านกราบไหว้จะเป็นรูปคนแก่ หน้าตามีเมตตากรุณา หนวดขาว ผมขาว แต่บางครั้งจะมีรูปหญิงแก่วางคู่กัน มีเรื่องเล่ากันว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ส่งเทพเจ้าที่ลงไปจุติบนโลก โดยให้เทพเจ้าที่ลงไปทำตามที่ตนตั้งใจ ในการลงไปบนโลกครั้งนี้ เทพเจ้าที่ตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนบนโลกมีเงินมีทอง มีความสุข แต่ภรรยาเทพเจ้าที่กลับคัดค้าน นางเห็นว่าคนบนโลกควรมีทั้งคนจนและคนรวย จึงจะสามารถร่วมมือกันแบ่งเบาภารกิจของสังคมได้ เทพเจ้าที่บอกว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ?คนจนก็น่าสงสารมากสิ? ภรรยาเทพเจ้าที่กล่าวว่า “ทุกคนเป็นคนรวยไปหมด ถ้าลูกสาวแต่งงานออกเรือนใครจะมาแบกเกี้ยวล่ะ” เทพเจ้าที่พูดอะไรไม่ออก ด้วยเหตุนี้จึงล้มเลิกความตั้งใจของตน ชาวโลกเห็นว่าภรรยาของเทพเจ้าที่เห็นแก่ตัว เป็นแม่มดชั่วร้าย จึงไม่ยอมกราบไหว้ แต่กลับกราบไหว้เทพเจ้าที่เพียงองค์เดียว
ตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าที่มีหลากหลายมาก และที่เห็นกันปัจจุบันนั้นเนื่องด้วยผู้คนเห็นว่าพื้นดินมีผู้ปกปักษ์คุ้ม ครอง เมื่อมาอาศัยอยู่บนพื้นที่ ก็ควรแสดงความเคารพหรือกราบไหว้เพื่อให้ตนหรือครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากเภทภัยอันตรายต่าง ๆ ทำการใดจะประสบความสำเร็จ
ที่ศาลแห่งนี้ยังมีเทพองค์อื่นให้สักการะอีก
ขึ้นไปที่หลังศาลเจ้าก็มีสวนสาธารณะอยู่ด้วย….