เดี๋ยวนี้วัยรุ่น หนุ่มสาว เริ่มสนใจเข้าวัดทำบุญเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต
มาเก๊าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีวัดจีนหลายแห่ง ที่เป็นที่เลื่อมใส ของคนจีนในมาเก๊า และคนจีนแผ่นดินใหญ่
รีวิวนี้ ลุงเด้ง ป้าไก่ เดินทางไปไหว้พระทั้งหมด 9 วัด และจัดทำเป็นแผ่นที่ให้ง่ายต่อการเดินทาง
สนใจไปไหว้พระที่มาเก๊า ตามรีวิวนี้มาเลยครับ
มาเก๊าเป็นเกาะเล็กๆ การที่เราจะเดินทางไปไหว้พระให้ครบ 9 วัด
ภายใน 2 วันนั้นทำได้สบายๆ ครับ
Day 01 :
1. วัดอาม่า (A-ma Temple)
2. วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun)
3. ศาลเจ้านาจา (Na Tcha Temple)
4. ศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ Temple of Divinity of Medicine และ Pau Kung Temple
5. วัดลินไท Lin Kai Temple
6. วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane)
Day 02 :
7. วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
8. วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
9. เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล (Kun Iam Ecumenical Center)
2. วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun)
3. ศาลเจ้านาจา (Na Tcha Temple)
4. ศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ Temple of Divinity of Medicine และ Pau Kung Temple
5. วัดลินไท Lin Kai Temple
6. วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane)
7. วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
8. วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
9. เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล (Kun Iam Ecumenical Center)
วัดอาม่า :
เริ่มต้นทริป “อิ่มบุญ อิ่มใจ” ลุงเด้ง ป้าไก่ แนะนำให้มาวัดนี้เป็นวัดแรกครับ
วัดอาม่า เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1488 สมัยราชวงศ์หมิง
เพื่อเป็นการสักการะต่อ อาม่า หรือ เจ้าแม่ทับทิม ที่เป็นองค์เทพธิดาแห่งท้องทะเล
ที่คอยปกป้องคุ้มครองชาวประมง และผู้เดินทางทางเรือ
ที่อยู่ : Barra Square
เปิดให้เข้าชม : 07.00 – 18.00 น.
การเดินทาง เริ่มจาก Senado Square ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม เดินไปที่ป้ายรถเมล์ (ป้าย Kam Pek Community Centre)
นั่งรถเมล์ สาย 2 / 5 / 7 / 11 / N3 รถเมล์จะวิ่งไปถึงหน้าวัดอาม่า (ป้าย A-Ma Temple)
ตำนานกำเนิดเจ้าแม่ทับทิม นั้นมีเรื่องเล่าแตกต่างกันไป
ในมาเก๊าเล่าขานกันว่า…
“อาม่า” ชื่อเรียก เจ้าแม่ทับทิม ในแบบของลัทธิเต๋า เป็นหญิงสาวชาวฟูเจียน นามว่า หลิงม่า
วันหนึ่ง หลิงม่า นั่งเรือลำเล็กๆ ของชายชราชาวประมง ข้ามทะเลจีนใต้ (South China Sea)
เมื่อมาถึงกลางทะเล ก็เกิดพายุขนาดใหญ่ ทำให้เรือประมงและเรือโดยสารหลายลำอับปางลงในทะเล
เมื่อ หลิงม่า เห็นดังนั้น ก็มายืนที่หัวเรือ แล้วอธิฐานขอให้พายุสงบลง
และเรือของหลิงม่านั้น ก็แล่นเข้าฝั่งได้อย่างปาฏิหาริย์
ชาวประมงที่รออยู่บนฝั่งพากันสงสัยว่า เรือลำเล็กๆ นี้ รอดจากพายุไม่ได้อย่างไร
และทันที่เรือจอดเทียบท่า หลิงม่า ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่ผืนดิน ก็ตัวลอยขึ้นหายเข้าไปในกลุ่มเมฆเบื้องบน
ชาวประมงทั้งหลายเชื่อว่า อาม่า หรือ เทพธิดาแห่งท้องทะเล ได้เดินทางมาคุ้มครองชาวประมงในแผ่นดินนี้
จึงได้สร้างวัดอาม่า ขึ้นเพื่ออุทิศให้แด่ อาม่า หรือ เจ้าแม่ทับทิม
ภายในวัดอาม่า จะมีก้อนหินใหญ่แกะสลักเป็นรูปเรือสำเภา
เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ อาม่า หรือ หลิงม่า ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่ผืนดิน ก็ตัวลอยขึ้นหายเข้าไปในกลุ่มเมฆเบื้องบน
เมื่อก่อนวัดอาม่า จะอยู่ริมทะเลนะครับ
ถ้ามองในภาพ ก้อนหินอยู่บนพื้นดิน และอยู่เลยเข้ามาในวัดจะเป็นจุดที่
อาม่า ย่างเท้าก้าวสู่ผืนดินได้อย่างไร???
ถมทะเลครับ มาเก๊าเป็นเกาะเล็กๆ พื้นที่ไม่พอ
ทางการมาเก๊าจึงสั่งให้มีการถมทะเล เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการขยายเกาะ
วัดที่เคยอยู่ริมน้ำ ถึงมาอยู่บนถนนแทน
ชื่อ มาเก๊า ได้มาอย่างไร???
ชื่อมาเก๊า ก็ได้มาจาก วัดอาม่า นี่แหละครับ
ชาวประมงจากมณฑลฝูเจี้ยนและชาวนาจากมณฑลกวางตุ้งเป็นกลุ่มแรกๆ ที่มาตั้งรกรากในมาเก๊า
ในสมัยนั้น มาเก๊า ใช้ชื่อว่าโอหมูน หรือ “ประตูแห่งการค้าขาย” เนื่องจากเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ปากแม่น้ำจูเจียง
อยู่ทางตอนใต้ของมณฑลกวางเจา ในอดีตเมืองท่าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมซึ่งที่นี่จะมีเรือบรรทุกไหม
เพื่อที่จะนำไปส่ง ที่กรุงโรม
ช่วงต้นปี ค.ศ. 1550 นักเดินเรือชาวโปรตุเกสล่องเรือมาจอดในบริเวณวัดอาม่า
และถามชาวประมงท้องถิ่นว่า “ดินแดนแห่งนี้มีชื่อว่าอะไร?”
ชาวประมงท้องถิ่นตอบกลับไปว่า “A-Ma Gao” อา-ม่า เก๊า
ซึ่งเแปลว่า “สถานที่ของอาม่า” หรือ วัดอาม่า
ชาวโปรตุเกสก็เรียกขานดินแดนแห่งนี้ว่า อา-ม่า เก๊า นานวันก็เรียกเพี้ยนไปเป็น มาเก๊า อย่างเช่นทุกวันนี้
วัดอาม่า ตั้งอยู่บริเวณเขาบาร์รา ในบริเวณหน้าวัดมีศาลาซุ้มประตู (Gate Pavilion),
ภายในประกอบด้วย
หอเมตรตาธรรม (Hall of Benevolence)
ศาลพระพุทธ (Zhenijao Chanlin)
ศาลเจ้าแม่กวนอิม (Hall of Guanyin)
ภายในวัดมีเรือสำเภาโบราณจำลอง และโบราณวัตถุมีค่าหลายชิ้น
เนื่องจากวัดอาม่า ตั้งอยู่บริเวณเขาบาร์รา ศาลเจ้าแต่ละแห่งก็ตั้งตามแนวลาดชั้นของเขา
ศาลเจ้าแม่กวนอิม (Hall of Guanyin) ตั้งอยู่ชั้นบนสุดครับ
วันนี้ ลุงเด้ง ป้าไก่ ทำบุญโดยการซื้อเทียนดอกบัวถวายเจ้าแม่กวนอิม
เทียนดอกบัว มีหลายขนาด ราคาก็ขนาดของดอกบัวครับ
ลุงเด้ง ป้าไก่ เลือกดอกเล็กที่สุดราคา 68 เหรียญ
คนไทยมากันเยอะ จนมีราคาเขียนเป็นภาษาไทยกำกับเลยครับ
ธูปบูชา ที่วัดจีนใน ฮ่องกง มาเก๊า และจีนแผ่นดินใหญ่จะเป็นวงกลม ใช้แขวนห้อยลงมาจากด้านบน
มี 3 ขนาด วงเล็ก จุดได้ 7 วัน / ขนาดกลาง จุดได้ 15 วัน / ขนาดใหญ่ จุดได้ 30 วัน
เพื่อขอพรแล้วก็จะมีพนักงานจุดธูปแล้วนำไปแขวนไว้ใต้หลังคา กันลม กันฝน
เมื่อจุดแล้วก็มีควันโพยพุ่งไปด้านบน (สวรรค์) จะกี่วันก็ตามขนาดของธูปที่เราซื้อถวาย
ลุงเด้ง ป้าไก่ ใช้เวลาอยู่ในวัดนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง
จากนั้นเราก็ขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเพื่อย้อนกลับไปที่ Senado Square
วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun) และ ศาลเจ้านาชา (Na Tcha Temple)
ตั้งอยู่ใน Senado Square สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในมาเก๊าครับ
วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun) หรือวัดกวนไท (Kuan Tai Temple)
ที่อยู่: เลขที่ 10 Rua Sul do Mercado de São Domingos
เวลาทำการ: 8.00น. – 18.00น.
เส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง: 3, 3X, 4, 6A, 8A, 18A, 19, 26A, 33, N1A
เซนาโด สแควร์ (Senado Square) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของมาเก๊า มีร้านเสื้อผ้า เครื่องสำอาง
และร้านอาหารอร่อยๆ ให้่เลือกมากมาย เดินกันได้ตลอดวัน
โบราณสถานทีสำคัญในบ่ายนี้ก็มี ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St.Paul’s) โบสถ์เซนต์ดอมินิก (Saint Dominic’s Church)
และมีวัดจีนที่สำคัญ 2 วัดคือ วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun) และ ศาลเจ้านาชา (Na Tcha Temple)
วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun) หรือวัดกวนไท (Kuan Tai Temple)
เป็นหนึ่งในวัดยอดนิยมที่คนมาเก๊าจะมาบูชาเทพเจ้ากวนอู
ปัจจุบันเทพกวนอูเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีวัดและศาลเจ้ามากที่สุด ทั้งในจีน ไทย และประเทศต่างๆ
วัดซำไกวุยคุน ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ซ้ายมือ ถ้าเราหัดหน้าเข้าหาน้ำพุที่เซนาโด สแควร์
วัดซำไกวุยคุน เรียกอีกชื่อว่า วัดกวนไท เป็นวัดเล็กๆ สร้างขึ้นเมื่อปี 1750 นับเป็นหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO ตั้งอยู่ใจกลาง “ศูนย์กลางประวัติศาสตร์มาเก๊า” ใกล้กับย่านตลาดจีนเก่า มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกับสมาคมการค้าและหอการค้าของจีน เป็นสิ่งก่อสร้างแบบจีนที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองท่ามกลางอาคารแบบตะวันตก แสดงให้เห็นการอยู่ร่วมกันของสองวัฒนธรรมอย่างกลมกลืนเปิดให้เข้าชม 08.00-18.00 น.
ที่มาของคำว่า ซำไกวุยคุน 三街會館 หรือ “Three Street Meeting Quarter”
แปลเป็นไทยได้ว่า (ที่ประชุมของถนน 3 สาย)
ในปีค.ศ. 1750 สถานที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่พบปะพูดคุยของชาวบ้านและพ่อค้าชาวจีน
ที่เปิดร้านค้าขายอยู่บนถนน 3 สาย ที่สำคัญในย่านนี้
ปัจจุบันถนนทั้ง 3 สาย มีชื่อว่า 1. Rua dos Mercadores 2. Rua das Estalagens 3. Rua dos Ervarios
ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 มาเก๊าได้มีการจัดตั้ง สมาคมการค้าและหอการค้าของจีน
ซำไกวุยคุน จึงเปลี่ยนมาเป็นวัดกวนไท สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้ากวนอู
พ่อค้า และชาวบ้านในแถบนี้เชื่อว่า เทพเจ้ากวนอู เป็นเทพเจ้าที่รักษาคำพูดด้วยชีวิต รักคุณธรรม ซื่อสัตย์
ช่วยปกป้องสิ่งชั่วร้ายภยันตรายต่างๆ และเสริมอำนาจบารมีในการปกครอง”
กวนอู นับเป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่นักธุรกิจ
ตลอดจนชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนต่างให้ความเคารพเป็นอย่างสูง
องค์กวนอูจะให้การปกป้องคุ้มครองและดึงดูดความมั่งคั่งเข้ามาให้ เชื่อกันว่าในยามออกศึก
กวนอูเป็นแม่ทัพผู้กล้าที่ทรงคุณธรรมและซื่อสัตย์ที่สุด
ด้วยเหตุนี้…
องค์กวนอูจึงเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการเคารพในฐานะเทพอุปถัมภ์และเทพผู้ปกป้องคุ้มครองของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ตำรวจ นักการเมือง และผู้นำทางธุรกิจ มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม
และปกป้องสิ่งชั่วร้ายภยันตรายต่างๆ เสริมอำนาจบารมีในการปกครองและคุ้มครองบริวาร
กวนอูเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมในด้านความสัตย์ซื่อและความกล้าหาญ
ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างมากจากผู้ปกครองในหลายดินแดน
กวนอูได้รับเกียรติ ยกย่องให้เทียบเท่ากับขงจื๊อ ได้รับการขนานนามว่า “เป็นนักบุญพฤติธรรม” และ “เทพเจ้าแห่งสงคราม”
ภายหลังจากกวนอูเสียชีวิต มีข่าวลือว่าศีรษะของกวนอูถูกฝังอยู่ทางตอนใต้ของเมืองลกเอี๋ยง
ผู้คนที่ทราบข่าวและศรัทธาในตัวกวนอูจึงไปสร้างวัดเทพเจ้ากวนอูและวัดกวนหลินในเมืองลกเอี๋ยง
เพื่อเป็นการสักการบูชากราบไหว้
คุณความดีทั้งสี่ของกวนอูคือ
“สัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม กตัญญูรู้คุณ และความกล้าหาญ”
ในการแสดงอุปรากรจีน หน้ากากกวนอูที่ใช้แสดงจะเป็นสีแดงล้วน มีความหมายถึงความสัตย์ซื่อและความกล้าหาญ
รูปนัยน์ตาเรียวเล็กและวาดรูปคิ้วเหมือนหนอนไหม 2 ตัววางพาดลงมา
และเนื่องจากเป็นที่รู้จักกันว่ากวนอูมีหนวดเครายาวมากจึงเรียกขานนามกวนอูว่า “ขุนนางเคราเขียว”
และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือกวนอู ในการแสดงอุปรากรจีนจึงไม่เลียนแบบลักษณะของกวนอูให้เหมือนทุกอย่าง
หากแต่หน้ากากกวนอูจะเติมเพียงจุดดำลงบนหน้ากากด้วยหนึ่งจุด ซึ่งเป็นการแต้มจุดดำด้วยความตั้งใจของผู้แสดง
ภายในวัดจะมีเจ้าหน้าที่ดูแล และคอยบอกเราว่าจะไหว้อะไร ยังไง
มีธูปเทียน และเครื่องไหว้จะหน่าย มีหลายชุด หลายราคา ไม่แพงมาก เริ่มต้นที่ 20 เหรียญ
ศาลเจ้านาจา Na Tcha Temple
ศาลเจ้านาชาสร้างขึ้นในปี 1888 เพื่ออุทิศให้แก่ยุวเทพนาชา หรือที่ชาวจีนเรียกกันว่า นาจาไท้จื้อ
เพื่อขอให้ท่านคุ้มครองจากกาฬโรคที่ระบาดอย่างรุนแรงไปทั่วมาเก๊าในขณะนั้น
นาชามาเข้าฝันชาวบ้านเพื่อบอกให้นำน้ำจากเทือกเขาและผสมกับยาสมุนไพรจีน รักษาโรคจนหายในที่สุด
ชาวบ้านจึงพากันสร้างศาลถวายแด่เทพนาชาตั้งอยู่ใกล้ซากประตูโบสถ์ เซนต์ปอล
วัดนาชาเป็นวัดขนาดเล็กประกอบด้วยโถงกลางและศาลาสำหรับการสวดภาวนา ต่อมาได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี 2005
ศาลเจ้านาจา ตั้งอยู่ถัดจากซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล
เดินไปทางซ้ายมือ ศาลเจ้านี้จะอยู่หลังประตูโปสถ์สังเกตง่ายไม่หลงแน่นอน
ศาลเจ้านาจา อยู่ไม่ไกลจาก วัดซำไกวุยคุน หรือวัดกวนไท
ดูจากแผนที่ เดินไม่เกิน 7-10 นาที เท่านั้น
ชาวมาเก๊าเชื่อกันว่า
ขอพรจากนาจาให้เด็กที่เราดูแลอยู่เย็นเป็นสุข แข็งแรง อยู่ในโอวาท
และเป็นเด็กดี มีความร่มเย็นเป็นสุข มีชีวิตที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
นาจา หน่าจา คนไทยรู้จักกันในชื่อ โกมินทร์ (ศาลเจ้าพ่อโกมินทร์ อ่าวอุดม)
ตอนเด็กๆ ลุงเด้ง มีหนังสือนิทานประวัติของนาจา
จำได้ว่านาจา นี่เป็น HERO ของลุงเด้ง ตอนเด็กเลยครับ ด้วยมีวีรกรรมตามในนิทานที่อ่านประมาณนี้
เดิมนาจาเป็นเทพที่อยู่บนสวรรค์มีชื่อว่า หลิน จินจื่อ เป็นบุตรของเทพเจดีย์
แต่ด้วยโลกมนุษย์มีปีศาจมาก ทางสวรรค์จึงส่ง หลิน จินจื่อ มาจุติยังโลกมนุษย์ในยุคราชวงศ์ซาง ในตระกูลหลี่ (李)
ประสูติเมื่อวันที่ 9 เดือน 9 เป็นบุตรของแม่ทัพหลี่ (หลี่เจ๊ง) และ นางฮึ่นสี
ขณะที่ตั้งท้องอยู่นั้น แม่ทัพหลี่ ได้ถูกส่งให้ไปออกรบ ประมาณ 1 ปี กับอีก 6 เดือน
เมื่อแม่ทัพหลี่กลับมา ภรรยาก็คลอดบุตรพอดี แต่กลับเป็นลูกแก้ว จึงเข้าใจว่าเป็นปีศาจ
แม่ทัพหลี่โกรธมาก จึงใช้กระบี่ฟันไปที่ลูกแก้ว
เมื่อลูกแก้วแตกก็เห็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักนอนอยู่บนผ้าแพร และมีห่วงทองอยู่ที่ตัวด้วย
นาจาในวัยเด็กเป็นเด็กที่ซนมากและไม่กลัวใคร…
วันหนึ่ง นาจาไปเล่นน้ำทะเล ด้วยเป็นเด็กจึงเอาผ้าเหวี่ยงเล่นที่น้ำ จึงทำให้ใต้บาดาลสะเทือน
เจ้าสมุทรจึงสั่งให้ ทหารออกมาดู ก็เห็นเด็กกำลังเล่นน้ำอยู่ จึงเข้าไปขู่ นาจาจึงใช้ผ้าเหวี่ยง เพื่อไล่ให้ไป
แต่ปรากฏว่าถูกตัวทหารทำให้ทหารของเจ้าสมุทรตาย
ต่อมา…
ลูกเจ้าสมุทรเห็นว่านานแล้ว ทหารยังไม่มารายงานจึงขึ้นตามมาดูก็เห็นทหารตายอยู่
เห็นเด็กกำลังเล่นน้ำอยู่ จึงเข้าไปขู่ แต่ก็ถูกผ้าแพรเหวี่ยงตายเช่นกัน
เจ้าสมุทรโกรธมาก จึงไปหาแม่ทัพหลี่ และบอกว่าลูกของท่านได้ฆ่าลูกของตน
ด้วยความโกรธเจ้าสมุทรจะเอาน้ำทะเล มาถล่มเมือง
พอนาจาได้ยินรุ่งเช้า จึงไปเมืองบาดาล และถลกเส้นเอ็นมังกร
และเสกมังกรให้เป็นงูเขียว แล้วเดินทางกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน…
นาจาจึงเอาเส้นเอ็นออกมาให้พ่อดู แล้วบอกว่า เส้นเอ็นนี้เอามาให้พ่อทำเสื้อเกราะ
จากนั้นก็ขว้าง เจ้าสมุทน ที่โดนเสกเป็นงูเขียวออกมา
แม่ทัพหลี่โกรธมากจึงดุด่านาจา…
จนในที่สุด นาจาน้อยใจจึงแล่เนื้อคืนแม่ และนำกระดูกของตนไปคืนพ่อ
จากนั้นจึงเข้าฝัน บอกให้แม่ทำศาลบูชาให้ แล้วนาจาจะได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่
แม่ทัพหลี่ทราบเรื่องก็ตามไปทำลายศาล นาจาจึงโกรธมากและคิดที่จะฆ่าพ่อ
เมื่อนาจาตายไปแล้วจึงหอบวิญญาณของตนไปพบเซียนซือจุน เซียนซือจุนเห็นว่า
นาจามีความสามารถในการปราบมารปีศาจ จึงได้ชุบชีวิตให้กับนาจาโดยใช้ก้านบัวแทนกระดูก
รากบัวแทนเนื้อ ใยบัวแทนเอ็น และใบบัวแทนเสื้อผ้าอาภรณ์ขึ้นมาใหม่
ดังนั้น รูปลักษณ์ของนาจา จะปรากฏให้ห็นเป็นรูปของเด็กผู้ชายเหยียบวงล้อไฟ
มือถือหอกและห่วงเป็นอาวุธ มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ปราบมารปีศาจได้
ต่อมาภายหลังเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เป็น “จงตั๋นหง่วนโส่ย” หรือ “จงตั๋นเหยียนฟู่” (中壇元帥)
แม่ทัพแห่งสวรรค์ ทำหน้าที่ปกป้องประตูสวรรค์ เช่นเดียวกับ เอ้อหลางเสิน หรือ เทพสามตา
วัดเปากง และ ศาลเจ้าแห่งเทพแห่งการแพทย์ Temple of Divinity of Medicine
วัดเปากงสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1889 ถัดมาคือศาลเจ้าแห่งเทพแห่งการแพทย์ ตั้งอยู่ถัดกับวัดเปากง ถูกสร้างขึ้นในปี 1893
ทั้ง 2 วัดนี้เหมาะสำหรับคู่ที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีบุตรก็มาขอลูกชาย ลูกสาวที่นี่ได้
ถ้ากำลังตั้งท้องก็มาขอให้เทพเจ้าช่วยดูแลลูกในท้องให้ปลอดภัย
เติบโตเป็นเด็กฉลาด แข็งแรงได้ครับ
จากศาลเจ้านาจา ใช้เวลาเดินตามแผนที่ไม่เกิน 5- 10 นาที
วัดเปากงสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1889 โดยชื่อว่าสามารถปกป้องคนในหมู่บ้านให้พ้นจากโรคระบาด
เทพเจ้าที่เป็นประธานของวัดนี้คือเปาบุ้นจิ้น
เครื่องประหารชีวิต ผู้ทำชั่ว ของท่านเปาบุ้นจิ้น มี 3 ชนิด
เครื่องประหารหัวสุนัข หรือฉบับแปลไทยเรียก “มีดตัดหัวสุนัข” (狗頭鍘) เป็นรูปสุนัข สำหรับประหารชีวิตไพร่
เครื่องประหารหัวพยัคฆ์ หรือฉบับแปลไทยเรียก “มีดบั่นศีรษะพยัคฆ์” (虎頭鍘) เป็นรูปเสือ สำหรับประหารชีวิตข้าราชการ
เครื่องประหารหัวมังกร หรือฉบับแปลไทยเรียก “มีดปลิดเศียรมังกร” (龍頭鍘) เป็นรูปมังกร สำหรับประหารชีวิตพระประยูรญาติ
ในภาพเป็นแบบจำลอง เครื่องประหารหัวพยัคฆ์ ที่ประชาชนนำมาถวายแก่องค์เปาบุ้นจิ้น
โถงที่สำคัญสำหรับสตรีชาวมาเก๊า คือโถงแห่งเทพีผู้คุ้มครองหญิงตั้งครรภ์ ความอุดมสมบูรณ์ของเผ่าพันธ์ และการคลอดบุตร
จึงมีผู้มาขอบุตรหลานที่นี่และขอพรให้หญิงตั้งครรภ์เป็นจำนวนมาก
หอเทพไท้ส่วย
หอนี้จะมีเจ้าหน้าที่ของวัดช่วยทำพิธีแก้ชง หรือ เสริมดวง ให้กับเรา
จะทำพิธีกับองค์ใหนก็ให้ดูปี ค.ศ. เกิดของเราเป็นหลัก ชุดแก้ชงก็ไม่แพงนะครับเริ่มที่ 20 เหรียญเท่านั้น
ลุงเด้ง ป้าไก่เกิดปี 1696 (ถ้านับไทยปีนี้ก็ครบอายุ 46 ปี ถ้านับจีนก็จะเพิ่มอีก 1ปี เป็นอายุ 47 ปี
พิธีการก็คือ พี่สาวจะพอพูดอังกฤษได้บ้าง
ก็บอกว่าเราต้องไหว้องค์ใหนโดยนับจากปี ค.ศ. ที่เกิด
จากนั้นก็ให้เราจุดธูป อธิฐาน แล้วจากนั้น พี่สาวก็ถามชื่อ แล้วก็พูดเป็นภาษาจีนบอกกล่าวกับองค์เทพ
แล้วก็นำกระดาษทองไปเผา แล้วก่อนกลับก็ได้ซองแดง ให้ใส่ในกระเป๋าถือ
ศาลเจ้าแห่งเทพแห่งการแพทย์ ตั้งอยู่ถัดกับวัดเปากง ถูกสร้างขึ้นในปี 1893
ด้านหน้ากำแพงจารึกโคลงกลอนว่า
“คุณธรรมส่องทั่วจักรวาล เกี่ยวเนื่องกับอดีตและปัจจุบัน
เทพเจ้าปรากฏกายบนท้องทะเลรวมไปถึงหมู่เกาะน้อยใหญ่
ยังประโยชน์แก่ชาวจีนและนานาประเทศทั้งปวง”
วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปนอนที่มีอายุกว่า 200 ปี ภายในแบ่งออกเป็นโถงสำหรับเทพแต่ละองค์ อาทิ เจ้าแม่กวนอิม, เทพไทยส่วย, จี้กง, เทพเจ้าแห่งโลกันตร์, เทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดินและเทพเจ้าอื่นๆ
วัดลินไก (Lin Kai Temple)
เราเดินทางต่อไปยังวัดที่ 5 ของวันนี้
วัดลินไท (Lin Kai Temple) เป็นวัดที่ประชาชนมาเก๊าจะมาขอพรจากองค์เทพฮวากวาง
และเทพธิดาแห่งการให้กำเนิดและเลี้ยงดูทารก
สร้างขึ้นในปี 1830 ตั้งอยู่เชิงเขาลินไก ซึ่งมีความหมายในภาษาจีนว่า “ดอกบัวและธารน้ำ”
ดอกบัว หมายถึง เกาะมาเก๊า
ธารน้ำ หมายถึง สายน้ำที่ไหลผ่านภูเขาแห่งนี้มาแต่ครั้งอดีต
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งมวล จึงถือว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าจำนวนมากที่สุดในมาเก๊า
วัดลินไท (Lin Kai Temple) อยู่ไม่ไกลจากวัดเปากง
และศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ Temple of Divinity of Medicine
ใช้เวลาเดินประมาณ 6-10 นาที
ระหว่างทางจะมี โรงพยาล KIANG WU ตรงข้ามโรงพยาบาล
จะเป็นถนน ลงเนิน (น่ารัก ๆ) ลงเนินแล้วเดินตรงไป เกือบสุดทางให้เลี้ยวขวา
เดินต่ออีกไม่ไกลก็จะเจอวัด ลินไก
วัดนี้ถูกก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในจัตุรัส Estrada do Repouso ในเขต Patane
องค์ประธานคือองค์จักรพรรดิ์ฮวากวาง หรือ หั่วกวงไต่เต่ 華光大帝
องค์เทพฮวากวาง เป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง หรือ เทพแห่งไฟ เป็นหลานของเง็กเซียนฮ่องเต้
เทพองค์นี้พักตร์สะอาดไม่มีหนวด ไม่มีเครา มีดวงตาที่ 3 ตรงกลางหน้าผาก
ของวิเศษจะเป็นทองแท่งทรงพีระมิด
องค์เทพฮวากวาง จะมีองคลักษณ์ ซ้าย ขวา มีชื่อว่า
Gao Ming (高明),หรือ Thousand Li Eye (千里眼).
Gao Jue (高覺), หรือ Wind Following Ear (順風耳).
หอถัดไปเป็นที่ประทับของเทพธิดาที่เกี่ยวข้องกับการให้กำเนิดทารกและการเลี้ยงดู
ตามผนังมีรูปปั้นดินเหนียวเทพธิดากับเด็กๆ เหมาะสำหรับคู่แต่งงานที่มีลูกยาก
ก็จะมาอธิฐานขอขอลูกชาย ลูกสาว
หรือกำลังตั้งครรภ์ ก็มาขอให้เทพธิดาช่วยดูแลลูกในท้องให้ออกมาแข็งแรงปลอดภัย
ลุงเด้ง ป้าไก่ สังเกตว่า เทพกวนอูจะมีอยู่เกือบทุกวัดในมาเก๊าเลยครับ
วัดลินไก มีหอเทพไท้ส่วยเอี้ยเช่นกัน ทางวัดมีเจ้าหน้าที่ช่วยทำพิธีแก้ชง หรือ เสริมดวง ให้กับเรา
เชื่อกันว่าคนที่ปีชง แล้วมาไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย สามารถคุ้มครอง ปกปักรักษา ให้พ้นจากเคราะห์ภัยได้ตลอดปี
คนที่ไม่ได้เกิดปีชงถ้าได้มาไหว้ ขอพร ก็จะมีความโชคดียิ่งขึ้นตลอดปีเช่นกัน
จากวัดลินไก เราจะเดินทางต่อไปยัง วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane)
ซึ่งเป็นวัดที่ 6 และสุดท้ายของวันนี้
แต่ในวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางไปอีก 3 วัดก็เป็นอันครบ 9 วัดในทริปนี้ครับ
วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane)
เราเดินทางต่อไปยังวัดที่ 6 ซึ่งเป็นวัดสุดท้ายของวันนี้
วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane) สร้างขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์หมิง
เรียกว่า วัดเทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดิน สร้างถวายแด่เทพเจ้าแห่งผืนแผ่นดิน “เทพเจ้าโทเท”
หรือที่ชาวจีนรู้จักกันในนาม เทพตี่จู่เอี้ย
คนไทยเชื่อสายจีนจะตั้ง ตี่จู่เอี้ย ไว้เกือบทุกบ้านเช่นกัน เสมือนการบูชาเจ้าที่
วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane) อยู่ไม่ไกลจากวัด LIN KAI
ใช้เวลาเดินประมาณ 6-10 นาที
วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา แต่ละหอเทพเจ้าก็จะไม่ได้สร้างเป็นแนวระนาบ
แต่จะหอจะแยกกันตามทางเดินขึ้นเนิน
โถงแห่งเทพเจ้าโทเท เป็นที่รู้จักกันในนาม วิงฟก เทพเจ้าแห่งโชคดี
เป็นโถงที่เก่าแก่ที่สุดและมีหน้าจั่วและศาลาทรงดอกบัว ตั้งอยู่ด้านหน้าของโถงไว้สำหรับการสวดบูชา
เทพเจ้าโทเทนี้ ชาวจีนเรียกว่า ตี่จู่เอี้ย ตามความเชื่อในตำนานที่ว่าเป็นเทพเจ้าผู้ดูปกปักษ์ผืนแผ่นดิน
การกราบไหว้เทพเจ้าพระองค์นี้จึงปรากฏทั่วไปในมาเก๊า
ไม่ว่าจะในร้านรวงหรือตามบ้านเรือน ศาลเจ้าของเทพเจ้าโทเทอาจถูกเรียกว่าศาลเจ้าฟกตั๊ก
มีความหมายในภาษาจีนอีกอย่างว่า ความมั่งคั่งและบุญกุศล
ภายในวัดนี้ประกอบด้วย 3 โถงสำคัญ
1. โถงแห่งความสุขนิรันดร์
2. โถงแห่งน้ำและดวงจันทร์
3. โถงแห่งยาและเวชกรรมและโถงแห่งพระแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์
ในแต่ละโถงก็มีองค์เทพที่เป็นประธานในแต่ละโถงเช่น เจ้าแม่กวนอิม พระพุทธเจ้า เทพแห่งการแพทย์และอื่นๆ
ด้านหลังวัดเดินขึ้นเนินเขา จะเป็นสวนคาโมส (Luís de Camões Garden)
นศตวรรษที่ 18 สวนป่าบนเนินเขาแห่งนี้เป็นส่วนหนี่งของพื้นที่บ้านของประธานบริษัทบริติชอีสต์อินเดีย โดยใช้ชื่อว่าสวนคาซา ซึ่งตอนนี้เป็นหอศิลป์ และสุสานโปรเตสแตนท์เก่าที่เต็มไปด้วยทางเดิน ไม้ดอก และหินหน้าหลุมศพพ่อค้า หมอสอนศาสนา
และคนอื่นๆ ที่มาจากต่างประเทศเพื่อมาตั้งรกรากในมาเก๊า
ที่อยู่: Praça de Luís de Camões มาเก๊า
เวลาเปิดให้บริการ: 06:00 – 22:00
จบทริปวันแรก กับ 6 วัด เวลา 18.00 พอดีเลยครับ
เดินกลับออกมาปากซอย ขึ้นรถเมล์สาย 33 ค่าโดยสาร 4.2 เหรียญ
ไปลงที่ป้าย T320 RUA DO CUNHA อยู่ด้านหลังของ ถนนอาหาร ที่ Taipa Village ย่านนี้มีร้านขายอาหารเยอะมาก
และขนมที่เป็นของฝากก็หาซื้อได้ที่นี่
เราลงรถเมล์ ที่ด้านหลังของถนนสายอาหาร ใน Taipa Village
ให้เดินตามลูกศร ก็จะเจอร้านอาหารเยอะแยะ
ดูในภาพก็น่าจะเห็นนะครับ ช้อนส้อม ขึ้นเต็มแผนที่เลย
ลุงเด้ง ป้าไก่ กินอาหารมื้อเย็นกันแถวนี้ครับ
Day 02 :
7. วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
8. วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
9. เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล (Kun Iam Ecumenical Center)
เช่นเคย ออกเดินทาง 9 โมงเช้า ภารกิจวันนี้คือต้องไป 3 วัดที่เหลือให้ครบ
วัดกวนอิม วัดลินฟง และ เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล
วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
เริ่มต้นการเดินทางของวันนี้ ลุงเด้ง ป้าไก่ มาขึ้นรถเมล์ 2A ที่ป้ายรถเมล์ M261 Avenida de D. João IV
อยู่ระหว่าง Senado Square กับ Grand Lisboa
นั่งไปลงที่สถานี M45 Cons.Falmeida/pak wai
นั่งไปลงที่สถานี M45 Cons.Falmeida/pak wai
แล้วเดินตามแผนที่ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงหน้าวัด วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
วัดกวนอิม Kun Iam Temple เรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Kun Iam Tong 观音堂
สร้างขึ้นใน ค.ศ.1627 ในสมัยราชวงศ์หยวน(1279-1368)
เพื่อถวายแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวมาเก๊า
เป็นวัดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของมาเก๊า
ด้านหน้าตรงประตูทางเข้า
มีภาพปริศนาธรรม 3 มิติ ซึ่งเป็นภาพพระศรีอาริยเมตตรัยโพธิสัตว์ หรือ องค์พระสังกัจจายน์
สังเกตที่ ปลายเท้า และดวงตา จะชี้ และ มอง มายังคนดูว่าจะเราจะยืนอยู่มุมใดของห้อง
ภายในภาพมีข้อความภาษาจีน เขียนว่า
“คนทำดีไม่ต้องกังวล เพราะถึงคนในโลกไม่เห็น พระสังกัจจายน์ก็มองเห็นและอวยพรเราอยู่”
ท้าวจตุโลกบาล เป็นเทวดาที่รักษาทุกข์ สุข ของมนุษย์โลกไว้ทั้ง 4 ทิศ
และทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่มนุษย์โลกทั้งหลาย
ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 องค์ประกอบด้วย
1.ท้าวธตรฎฐ์ ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศตะวันออก
จอมภูต รูปร่างสูง และสูงกว่าทุกๆองค์ใน 4 ท้าวจตุโลกบาล มีผิวกายสีเขียว มือซ้ายถือพิณ มือขวาดีดพิณ
2.ท้าววิรุฬหก ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศใต้
จอมเทวดา กายสีขาวรูปร่างสมส่วนงดงาม, มือขวาถือพระขรรค์
3.ท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศตะวันตก
จอมนาค มีรูปกายสีขาวรูปร่างอ้วนใหญ่ ฟันขาวเขี้ยวโง้งออกจากปาก มีริมฝีปากนูน ตาใหญ่ มีนาค หรืองู พันอยู่รอบมือ
4.ท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศเหนือ
เป็นจอมยักษ์ ผู้สดับในสรรพสิ่ง ถือเจดีย์อยู่ในมือ
ท้าววิรุฬหก
ท้าววิรูปักษ์
ท้าวธตรฎฐ์
ด้านในวัดแห่งนี้มีโถงหลักอยู่ 3 แห่ง การเข้าวัดให้เอาเท้าซ้ายก้าวเข้า ทางประตูซ้าย ออกจากวัดให้เอาเท้าขวาออก
การไหว้ ต้องเริ่มไหว้จากตำหนักในสุด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิม
จากตำหนักประทับของเจ้าแม่กวนอิมแล้วไหว้ไล่ออกมาจากจนถึงตำหนักหน้าสุดที่อยู่ใกล้ประตูทางออกที่สุด
ลุงเด้ง ป้าไก่ เที่ยวชมวัดจีนในหลายเมือง ก็สังเกตเห็นว่า คนจีนหลายๆ คน
มาขอพร จะสวมชุดสีแดงทั้งชุด บ้างก็เสื้อแดง บ้างก็หมวดแดง ขอให้มีสีแดง ที่เป็นสีแห่งโชคลาภและเงินทอง
โถงด้านในสุด คือ หอพระโพธิสัตว์กวนอิม
เป็นที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพร ในชุดเจ้าสาวของตัดเย็บด้วยผ้าไหมอันงดงาม
ซึ่งจะมีการผลัดเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ในทุกปี
“เจ้าแม่กวนอิม” (观世音、观音) เป็นพระโพธิสัตว์ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่มีผู้รู้จักและศรัทธามากที่สุด
เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชาจากชาวจีนทั่วทุกมุมโลก
ในคตินิยมทางสัญลักษณ์วัฒนธรรมมงคลของจีน องค์เจ้าแม่กวนอิม คือ พระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อสรรพสัตว์
เป็นพระผู้เปี่ยมด้วยความกตัญญู และเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหาการุณย์เพื่อโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์
ดังคำปณิธานของพระองค์ที่ว่า
“เราหากซึ่งได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว…
จะโปรดทุกข์ประทานสุขให้แก่สรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ทั้งมวล
หากสรรพสัตว์ทั้งหลายมิอาจจะพ้นทุกข์ได้แล้วไซร้…
เราจะไม่ขอเข้าสู่ดินแดนพุทธภูมิ”
ทางวัดมีจำหน่ายรูป เริ่มตั้งแต่ราคา 20 เหรียญขึ้นไป
ธูปขดเป็นวงกลมก็มีจำหน่าย ตามขนาดว่า ขดใหญ่ วงใหญ่ ก็จุดได้นาน 7 วัน 15 วัน 30 วัน
ลุง ที่เป็นเจ้าหน้าที่วัด เห็นลุงเด้ง ป้าไก่ ไหว้ ผิดๆ ถูกๆ ก็มาช่วยสอน และจัดการให้
หออายุวัฒนะ
เป็นที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตรย
พุทธศาสนาฝ่ายหินยาน มีความเชื่อว่า พระศรีอริยเมตไตรย คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาในอนาคต
โลกนี้จะมีความสงบสุข และพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง
คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน
ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้
เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด
ไม่มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นใคร
เพราะมันดีเหมือนกันหมด
สุภาพเหมือนกันหมด สวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน
จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา
ต้องการอะไรก็ได้ มีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ
อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ สะดวกสบาย
แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง
เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างใจ
เชื่อกันว่าผู้ที่สวดบูชาท่านอยู่เสมอ จะเป็นผู้มีอายุขัยยาวนาน ดังชื่อที่มาของโถงแห่งนี้ ตั้งจิตอธิษฐานให้บุญกุศลที่เราทำ ให้เราได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์และพบพระศรีอริยเมตไตรยในอนาคต
บทสวด “เมตตานะ ศรีอริยะเมตโต พุทธานะมะ สันติเกโล อะนาคามิ สาธุ สาธุ สาธุ”
ภายในหออายุวัฒนะ เป็นที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตรย
เราจะได้พบ พระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็นองค์เดียวกันกับคำเรียกทางพุทธศาสนาฝ่านหินยานคือ “พระอาริย์” (พระศรีอารยเมตไตรย)
อันเป็นคติความเชื่อทางพุทธศาสนาที่หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เช่นกัน
พระสังกัจจายน์ หรือ หมีเล่อฝอ (弥勒佛) หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์โพธิสัตว์ เป็นคำเรียกกันทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งเป็นองค์เดียวกันกับคำเรียกทางพุทธศาสนาฝ่านหินยานคือ พระอาริย์ (พระศรีอารยเมตไตรย)อันเป็นคติความเชื่อทางพุทธศาสนาที่หมายถึงพระพุทธเจ้า องค์ใหม่ ที่จะบังเกิดมาในอนาคตกาล ณ เวลานั้น เชื่อกันว่า สันติสุขอันแท้จริงจะบังเกิดขึ้นแก่มวลมนุษยชาติ
รูปลักษณะของพระสังกัจจายน์ (พระศรีอาริย์)ตามแบบคติแบบจีนนั้น จะเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะอ้วนพลุ้ยเปลือยอก มีใบหน้าที่สดชื่นร่าเริง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และมักหัวเราะเริงร่าอยู่เสมอ สองหูยาวจรดบ่า มักเห็นท่านในลักษณะท่าทางนั้งอย่างสบายอารมณ์
ในทางพุทธศาสนามหายานนั้น คติการสร้างรูปเคารพพระสังกัจจายน์ หรือ หมีเล่อฝอ เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่ง(ซ้อง) ซึ่งเป็นสมัยแห่งความรุ่งเรืองทางด้านศิลปะหัตถกรรมจีน รูปเคารพทางพุทธศาสนาจึงถูกนำมาใช้ในความหมายที่ดีแก่ราชสำนักและคหบดีทั่ว ไป ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ภาพวาด จิตรกรรมจีน ประเพณี ประติมากรรมพระสังกัจจายน์ หรือ หมีเล่อฝอ จึงถูกนำมาใช้วัฒนธรรมมงคล เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขสมหวังและมีความหมายที่ดีสำหรับใช้เป็นภาพอวยพรให้ แก่กันและกัน เพื่อให้การดำเนินชีวิตใด ๆ สำเร็จสมประสงค์และเพียบพร้อมด้วยปิติสุขตลอดไป
“ผู้ใดบูชาพระสังกัจจายน์ ย่อมเป็นมหามงคลอุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล”
วิธีขอพลัง คือ ตั้งจิตอธิฐาน ใช้มือข้างขวา ลูบที่พุงวนขวาตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ
โถงสุดท้าย เป็นที่ประดิษฐานของ พระพุทธเจ้า 3 พระองค์
คติของพระพุทธศาสนามหายานให้ความสำคัญแด่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
ทั้งในอดีตกาล – ปัจจุบันและในอนาคต
ชาวจีนได้สร้างขึ้นตามคติของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ประกอบด้วย
พระศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้า (เจ้าชายสิทธัตถะ) ชื่อจีนเรียกท่านว่า สิกแกเหม่านี้ฮุด
ทรงประกาศพระสัทธรรมเมื่อสองพันห้าร้อยปีล่วงแล้ว
พระอมิตาภะพุทธเจ้า คือ พระพุทธผู้ให้แสงส่ว่างและอายุอันประมาณมิได้ ชื่อจีนเรียกท่านว่า อามีท้อฮุด
ทรงเป็นต้นธาตุต้นธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า คือ พระพุทธผู้เป็นครูแห่งยารักษาโรค ชื่อจีนเรียกท่านว่า เอี๊ยะซือฮุด
ทรงเป็นอดีตพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง
เหวยถวอผูซ่า (韦陀菩萨) หรือ พระเวทโพธิสัตว์
ในสำเนียงแต้จิ๋วนิยมเรียกว่า “อุ่ยท้อผ่อสัก” หมายถึง พระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์ปกป้องพระธรรมแห่งพุทธศาสนา
พระเวทโพธิสัตว์ มีหน้าที่เฝ้าอารักขาพระพุทธศาสนา
หอ 18 อรหันต์
ด้านข้างของวัดจะมีสวน เปิดให้เข้าชมต้งแต่เวลา 8.00-17.00
ภายในสวนนี้ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สืบเนื่องมาจาก สงครามฝิ่น
สงครามฝิ่นเป็นสงครามระหว่างประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีนกับอังกฤษ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจตะวันตก
จีนไม่ยอมเปิดประตูการค้าเสรีตามความต้องการของชาติตะวันตก
ฝ่ายอังกฤษซึ่งดำเนินการค้าโดยบริษัทอินเดียตะวันออก ขาดดุลการค้าจำนวนมหาศาลให้แก่จีน
เนื่องจากนำเข้าใบชาจากจีนจำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถขายสินค้าให้แก่จีนได้อย่างเสรี
ในปี ค.ศ. 1820 บริษัทอินเดียตะวันออก มีสินค้าใหม่ นั้นคือ ฝิ่น ซึ่งปลูกในอินเดีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
ฝิ่นตัวนี้สร้างกำไรอย่างมากมาย ทำให้อังกฤษได้เปรียบดุลการค้ากับจีน
ทางการจีนเห็นว่า ฝิ่น มอมเมา และเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของคนจีนในชาติ
เพราะคนจีนทุกชนชั้นติดฝิ่นกันงอมแงม
ค.ศ.1838 ทางการจีนประกาศห้ามนำเข้า ห้ามเสพฝิ่น และผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงประหารชีวิต
แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการหลังไหลเข้ามาของฝิ่น
เดือนมีนาคม ค.ศ.1839 จีนกวาดจับ และยึดฝิ่นของพ่อค้าอังกฤษได้เป็นจำนานมากที่ท่าเรือมณฑลกวางโจว
รัฐบาลอังกฤษขอคืน แต่ทางการจีนปฏิเสธ และสั่งให้พ่อค้าอังกฤษลงนามในข้อตกลงว่าจะไม่ส่งฝิ่นเข้ามาประเทศจีน
แต่พ่อค้าอังกฤษปฏิเสธการลงนามในครั้งนั้น
จีนในขณะนั้นทำหนังสือร้องเรียนไปยังสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และสอบถามว่า
ทำไมรัฐบาลอังกฤษห้ามค้าฝิ่น ในประเทศตนเอง (ประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสกอตแลนด์)
แต่กลับส่งฝิ่นมาขายในตะวันออกไกล และในจีน
รัฐบาลอังกฤษตอบมาว่า…
ทางการจีนก็กระทำการอันไม่ชอบธรรมที่ยึด ฝิ่น ของชาวอังกฤษ และขอให้คืนฝิ่นให้ทั้งหมด
จีน ตอบโต้ด้วยการทำลายฝิ่นที่ยึดโดยการโยนทิ้งลงทะเล
อังกฤษไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงยกกองกำลังเข้าปิดล้อมชายฝั่งมณฑลกวางตุ้ง และฮ่องกง
ในที่สุดจีนพ่ายแพ้ และต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง 29 สิงหาคม ค.ศ. 1842
รัฐบาลจีนต้องชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าฝิ่นที่ถูกทำลาย และจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้อังกฤษ
และเปิดเมืองท่า 5 แห่ง ได้แก่ กวางโจว เซียะเหมิน ฝูโจว หนิงโป และเซี่ยงไฮ้
รวมถึงมอบเกาะฮ่องกง และเกาะที่อยู่โดยรอบเป็นเขตเช่าของอังกฤษ
ชาวอังกฤษและคนที่อยู่ใต้อาณัติสามารถอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้อยู่โดยได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
และในปี 1844 ฝรั่งเศสและอเมริกาได้บีบบังคับให้จีนให้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับอังกฤษ
ลุงเด้ง ป้าไก่ เล่ามาตั้งยืดยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโต๊ะตัวนี้?
ชุดโต๊ะหินคือใช้เป็นที่ลงนามสนธิสัญญาจีน-อเมริกัน เรียกว่า สนธิสัญญา Mong Ha
ในวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1844 โดย คียิง อุปราชแห่งกวางตุ้ง และ คาเล็บ คุชชิง รัฐมนตรีสหรัฐอเมริกา
วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
วัดที่ 8 ของทริปนี้ ลุงเด้งมุ่งหน้าไปยัง วัดลินฟง
เดินจากวัดกวนอิม ต่อไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้วครับ
วัดลินฟง หรือวัดดอกบัว หนึ่งในสามวัดเก่าแก่มีชื่อเสียงมากที่สุดในมาเก๊า สร้างขึ้นในปี 1592 ในช่วงราชวงศ์หมิง
วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
ตั้งอยู่ใกล้กับด่านกงเป่ย (ขงปั๊ก) ถนน Avenida Alimirante Lacerda สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1592
เป็นวัดในลัทธิเต๋าแห่งเดียวในมาเก๊าที่มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
สืบเนื่องจากวัดกวนอิม ที่ลุงเด้ง ป้าไก่ เล่าให้ฟังถึงสงครามฝิ่น
เรื่อยมาจนในที่สุดจีนพ่ายแพ้ และต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง 29 สิงหาคม ค.ศ. 1842
รัฐบาลจีนต้องชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าฝิ่นที่ถูกทำลาย และจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้อังกฤษ
และเปิดเมืองท่า 5 แห่ง ได้แก่ กวางโจว เซียะเหมิน ฝูโจว หนิงโป และเซี่ยงไฮ้
รวมถึงมอบเกาะฮ่องกง และเกาะที่อยู่โดยรอบเป็นเขตเช่าของอังกฤษ
ชาวอังกฤษและคนที่อยู่ใต้อาณัติสามารถอาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้อยู่โดยได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
และในปี 1844 ฝรั่งเศสและอเมริกาได้บีบบังคับให้จีนให้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับอังกฤษ
กล่าวคือ ในปี ค.ศ.1839 วัดลินฟง (Lin Fung Temple) เคยเป็นที่พำนักของขุนนางจีน
หลิน ซี ซู เมื่อครั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนองค์จักรพรรดิจีน เพื่อเข้ามาทำการกวาดล้างการค้าฝิ่น
ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล
ดังนั้นเราจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษ หลิน ซี ซู และ Lin Zexu Memorial Museum of Macau ค่าเข้าชม 5 เหรียญ
วัดลินฟง หรือวัดดอกบัว เป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์กวนอิมปางมหาบุรุษ
กวนอิมแท้จริงเป็น”มหาบุรุษ”
ให้สังเกตุที่เท้าจะใหญ่เหมือนบุรุษ และที่สำคัญกวนอิมไม่มีหน้าอกเหมือนสตรีเพศทั่วไป
ตามความเชื่อทางลัทธิมหายานที่ว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมคืออวตารหนึ่งของพระอมิตาภพุทธเจ้า จึงมีเนื้อแท้ทรงเป็นมหาบุรุษ
เมื่อเสด็จโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์จะทรงนิรมิตพระองค์ไปตามภพภูมิ
ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานคำว่า “พระโพธิสัตว์(菩萨)” คิอ ผู้ซึ่งตั้งจิตแน่วแน่ในการบำเพ็ญเพียร
เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต จึงมีการสร้างสมบุญบารมีเพื่อโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์
เรียกกันในสันสกฤตว่า “พระอวโลกิเตศวร (Avalokitesvara) ซึ่งแปลว่า “พระผู้เฝ้ามองดูด้วยความเมตตากรุณา”
หรือ “พระผู้ทรงสดับฟังเสียงร้องไห้ของสัตว์โลก”
สันนิษฐานว่า คติเกี่ยวกับรูปเคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม น่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสามก๊กและราชวงค์จิ้น
ในยุคแรกมักเป็นภาพของพระอวโลกิเตศวร (พระโพธิสัตว์กวนอิม) ที่มีลักษณะแบบเพศชาย
มีริมฝีปากหนาและมีหนวดเครา ส่วนเหตุผลของความเปลี่ยนแปลงจากบุคลิกลักษณะเป็นเพศหญิงนั้น
นักประติมานวิทยา สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากเหตุผล 2 ประการ
ประการแรก นั้นคือ พระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นผู้ทรงโปรดสัตว์โลก ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
และในสมัยโบราณนั้น ผู้หญิงมักได้รับการกดขี่ข่มเหงและทุกข์ทรมานมากกว่าเพศชาย
จึงเกิดภาพลักษณ์ในด้านที่เป็นเพศหญิง เพื่อช่วยเหลือสตรีให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม
ประการที่สอง นั้นคือ ผู้หญิงเป็นเพศที่มีความอ่อนโยนและมีจิตใจที่ดีงามกว่าเพศชาย
โดยเฉพาะความรักของผู้เป็นมารดา อันเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตาการุณย์ต่อบุตร
แต่อย่างไรก็ตามพระโพธิสัตว์ถือว่านวเพศหรือไม่มีเพศจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้
เพื่อแสดงถึงความเมตตากรุณาและโปรดสัตว์โลก ซึ่งหมายถึงสภาวะโพธิญาณ
ในบางตำนานเล่าว่า…
เจ้าแม่กวนอิมพระมาจากอินเดีย เดินทางมาแสวงบุญยังแผ่นดินจีน ระหว่างทางได้พบหญิงท้องแก่
ตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือ แต่ติดที่มีร่างการเป็นชาย ไม่เหมาะสมที่จะให้การช่วยเหลือ
จึงแปลงร่างเป็นหญิงเพื่อเข้าทำการช่วยเหลือ หลังจากนั้นไม่สามารถแปลงกายกลับเป็นชายได้ดังเดิม
จำต้องติดอยู่ในร่างหญิงโดยมีหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า…
พระธิดาองค์หนึ่งประชวรหนัก ไม่มีแพทย์ผู้ใดในแผ่นดินรักษาได้ เรื่องถึงพระโพธิสัตว์จะเสด็จลงมารักษา
แต่ตามกฎมณเฑียรบาลนั้น ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ หรือแตะต้องพระธิดา
พระโพธิสัตว์จึงต้องแปลงกายเป็นหญิง เพื่อเข้าไปตรวจอาการและให้การรักษา จนพระราชธิดาหาย
และสุดท้ายก็ไม่สามารถแปลงกายกลับมาเป็นชายได้
ว่ากันว่า… การที่เจ้าแม่กวนอิมมีร่างเป็นหญิงนั้น สามารถช่วยเหลือมนุษย์ ได้ง่าย และสะดวกกว่า
และเพศหญิงยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา
กวนอิม ในวัดลินฟง หรือวัดดอกบัว จึงเป็นที่ประดิษฐานของพระโพธิสัตว์กวนอิมปางมหาบุรุษ
ภายในวัดลินฟง ยังเป็นที่ประทับของเทพอีกหลายองค์ จัดเป็นวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในมาเก๊า
ภายในวัดมีหอเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย สำหรับ เสริมดวง แก้ปีชง
สถานที่สุดท้ายแห่งที่ 9 ไม่ใช่วัด แต่เป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล (Kun Iam Ecumenical Center)
รูปปั้นนี้ตั้งอยู่ริมทะเลใกล้กับ Dr. Carlos D’assumpcao Park
รัฐบาลโปรตุเกสตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับมาเก๊า
จากวัดลินฟง ลุงเด้งเรียก TAXI มาเลย
คนขับ TAXI ในมาเก๊า พูดอังกฤษไม่ค่อยจะได้ ถ้าเจอที่พูดได้ถือว่าโชคดีมากๆ
แนะนำให้เอารูป เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง นี่แหละครับ ให้คนขับดู ร้องอ๋อ ทุกคนครับ
เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง(Kun Iam Statue) ที่ตั้งอยู่ริมทะเล ใกล้กับ Dr. Carlos D’assumpcao Park
สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ มีความสูง 18 เมตร หนักกว่า 1.8 ตัน ประดิษฐานอยู่บนฐานดอกบัว สว่างามและอ่อนช้อย
องค์เป็นเจ้าแม่กวนอิมที่มีพระพักตร์เป็นหน้าพระแม่มารี โปรตุเกสตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับมาเก๊า
ในโอกาสที่ส่งมอบมาเก๊าคืนให้กับจีน เพื่อให้คนรุ่นได้ระลึกถึงว่าโปรตุเกสมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีกับมาเก๊า
ตำแหน่งในการยืนอธิฐานขอพร และรับพลังจากองค์จ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล
คือตำแหน่ง “ก้นหอย” นี้ครับ ยืนสงบนิ่ง โค้งศรีษะลงเพื่อคารวะ ตั้งจิตอธิฐาน
เสร็จแล้วให้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจะสบตากับองค์จ้าแม่กวนอิม
ในตำแหน่งนี้ องค์จ้าแม่กวนอิม จะมองเห็นเราเด่นชัดที่สุดเช่นกัน
ฐานรูปโดมเหมือนดอกบัวเป็นพิพิธภัณฑ์ใต้ฐานเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง
และศูนย์ส่งเสริมศาสนาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และลัทธิขงจื้อ
นักท่องเที่ยวสามารถซื้อของที่ระลึก และหนังสือเกี่ยวกับธรรมะสถาบันวัฒนธรรมได้ที่นี่
เปิดให้บริการ: ตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 18.00 น. เข้าชมฟรี
ปิดทุกวันศุกร์ เปิดวันนักขัตฤกษ์
รอบๆ องค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล ก็มีวิวสวยๆ ให้ถ่ายรูป นะครับ
สวน Dr. Carlos D’assumpcao Park ที่อยู่ตรงข้ามาองค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล
มาเก๊า ฮ่องกง เป็นเมืองแห่งฮวงจุ้ย
ชาวตะวันตกเชื่อว่าเลข 8 มีรูปลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์
ในทางคณิตศาสตร์เลข 8 หมายถึงความไม่มีที่สิ้นสุด (infinity)
จึงใช้สื่อความหมายถึงความเป็นอมตะ ไม่มีที่สิ้นสุด
ที่เชื่อหรือไม่ ให้ดูที่ภาพนี้ครับ สถานที่ภายในรอบๆ องค์จ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล
มีเครื่องหมาย 8 (infinity) ซ่อนอยู่ 3 แห่ง กันเลย
จุดที่ 1 บริเวณลานทางเดินหน้าองค์เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล
จุดที่ 2 พิพิธภัณฑ์ใต้ฐานเจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทอง บนเพดานด้านบนมีแผ่นรูปหัวใจ มีเรื่องหมาย 8 เช่นกัน
จุดที่ 3 หลายๆ คนหาไม่เจอครับ ดูจากในภาพที่ลุงเด้ง ป้าไก่ ถ่ายมาให้ แล้วลองไปหากันนะครับ
การเดินทางมาไหว้เจ้าในมาเก๊าครั้งนี้ ลุงเด้งป้าไก่ได้รับความรู้มากมาย
ลุงเด้ง ป้าไก่ เชื่อว่าการทำจิตใจให้นิ่งปลอดโปร่ง จะเป็นผลดีกับการขอพรเป็นอย่างมาก
สังเกตเห็นคนจีนใส่เสื้อสีสดโดยเฉพาะสีแดงมาไหว้เจ้ากันหลายคน
ว่ากันว่า สีสดๆ คือช่องทางการรับพลัง ดูจากงานมงคลของจีน จะเล่นกับสีแดง สีทอง สีเขียวตลอดเวลา
คนจีนจะเปล่งเสียงเวลาสวดมนต์ จะไม่สวดในใจ และเวลาขอพร
หรือบอกกล่าวก็จะเปล่งเสียงออกมาจากปาก (คนข้างๆ ได้ยิน นั้นหมายถึงคงจะให้เทพได้ยินด้วยเช่นกัน)
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของวัดที่ช่วยเราทำพิธีนี่ พูดเสียงดัง ฟังชัด เจ้าทุกองค์ได้ยินแน่นอน
ปาฏิหาริย์ศรัทธาในการไหว้เจ้า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล
แต่หากปฏิบัติแล้วสบายใจ จิตใจแจ่มใส ก็ถือว่าได้บุญแล้วครับ
ขอให้ทุกท่านโชคตลอดปี และได้พบเรื่องดีๆจากการไหว้เจ้า
ขอมูลบางอย่างหากผิดพลาด เพื่อนๆ ที่เป็นผู้รู้ช่วยกันแจ้งมาได้เลยนะครับ
จะได้ปรับปรุงให้ถูกต้องที่สุด
1. วัดอาม่า (A-ma Temple)
2. วัดซำไกวุยคุน (Sam Kai Vui Kun)
3. ศาลเจ้านาจา (Na Tcha Temple)
4. ศาลเจ้าแห่งเทพการแพทย์ Temple of Divinity of Medicine และ Pau Kung Temple
5. วัดลินไท Lin Kai Temple
6. วัดเทพเจ้าโทเท (Tou Tei Temple at Patane)
7. วัดกวนอิม (Kun Iam Temple)
8. วัดลินฟง (Lin Fung Temple)
9. เจ้าแม่กวนอิมปรางค์ทองริมทะเล (Kun Iam Ecumenical Center)